วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

นี่หรือนิพพาน ครั้งที่ 08 เรื่อง นี่หรือนิพพาน



2559-04-08 นี่หรือนิพพาน ครั้งที่ 08
เรื่อง นี่หรือนิพพาน
โลกนี้ สิ่งไรๆ ก็ไม่มีอะไรแน่นอนเลย ชีวิตก็ไม่ได้แน่นอน ความเป็นอยู่ก็ไม่ได้แน่นอน สิ่งต่างๆ ที่หมุนเวียนเข้ามาก็ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเข้ามาบ้าง ล้วนตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน สุขทุกข์ก็เป็นของไม่แน่นอน เดี๋ยวมันก็สุข เดี๋ยวมันก็ทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนเลย คาดหวังอะไรไม่ได้ ถ้าคาดหวังแล้วละก็ ใจมันก็เป็นทุกข์ ทุกข์ร้อน เศร้าใจเสียใจ ความพลัดพรากก็ทำให้เศร้าใจเสียใจ ความคิดถึงก็ทำให้เศร้าใจเสียใจ ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้น
ความที่เราจะพ้นจากทุกข์เหล่านี้ ทั้งหลายทั้งปวงได้ ก็ต้องตั้งอยู่ บนความไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่ใช่อะไร ไม่ได้อะไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่มีอะไรจากไป ตั้งอยู่บนความไม่มีอะไร อะไรอะไรก็ล้วนไม่มีอะไรอะไร ตั้งอยู่บนความไม่มีอะไรอะไร ใจก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าคิดว่ามีละก็มันก็ทุกข์ ถ้าคิดว่ามีสิ่งนี้มาสิ่งนี้ไป ใจมันก็ทุกข์ มันจะมาจะไปก็ล้วนเป็นกฎของโลก เหมือนลมพัดวูบเดียว สุขก็เท่านั้น ทุกข์ก็เท่านั้น ดีใจก็เท่านั้น เสียใจก็เท่านั้น หัวเราะก็เท่านั้น ร้องไห้ก็เท่านั้น ล้วนเป็นของโลกทั้งสิ้นเลย
ถ้าขึ้นชื่อว่าโลกก็คือทุกข์ เพราะมันมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาหมดเลย สลายตัวของมันเองไป ตามกาลและเวลาเป็นตัวกำหนด จะเร็วจะช้า สุดท้ายมันก็ต้องจากเราไป ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ มันต้องจากเราไปในวันหนึ่ง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บนโลกใบนี้ จะว่าเป็นความจริงก็ได้ จะว่าเป็นความเท็จก็ได้ เพราะมันเป็นอย่างนี้ มันเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้ เวียนไปแล้วอย่างนี้ ตลอดการมีชีวิตของเราที่อยู่บนโลกใบนี้ ทุกคนก็ต้องเจอ ดีใจเสียใจระคนกันไป สุขบ้างทุกข์บ้างระคนกันไป สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเหลือเลย เราต้องจากมันไปทั้งสิ้น
สิ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ ถึงเวลาแล้วเราก็ต้องจากมันไป สิ่งที่จะติดตัวเราไปนั้น ก็คือความยึดมั่นถือมั่น ที่เรามีให้กับโลกใบนี้เนี่ยแหละ มันจะพาเราไปเวียนตายเวียนเกิดอีก เพราะเรายึดถือ ยึดถือในบุญในบาป ยึดถือในสุขในทุกข์ ทำแล้วก็แล้ว ใช้สอยแล้วก็แล้ว รู้แล้วก็แล้ว ปล่อยมันไป เข้าใจแล้วก็ต้องปล่อยมัน รู้แจ้งแล้วก็ต้องวางให้ลง ปล่อยมันไปโดยธรรมชาติ อย่าไปแบกอย่าไปกอดรัดเอาไว้อีก จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี จะไปกอดรัดเอาไว้ทำอะไร เพราะมันเป็นของโลกทั้งสิ้น
สิ่งที่เราจำเอาไว้ ก็คือความยึดมั่นถือมั่นเนี่ยแหละ ไปมั่นหมายมันเอาไว้ ว่าสิ่งนี้มีอยู่ สิ่งนี้เกิดขึ้นอยู่ ยิ่งมั่นหมายมากๆ คิดเข้ามันมากๆ เข้าไป มันก็มั่นหมายมากขึ้นเข้าไปอีก กอดรัดเอาไว้อีก แน่นหนาเข้าไปอีก มันก็เวียนอยู่อย่างเนี้ย แบกกันไป แล้วก็เกิดมาใหม่ ก็ใช้สอยไอ้ความยึดมั่นถือมั่นที่มีเนี่ยแหละ มาใช้สอยกันไปอีก มาเรียนรู้กันไปอีก ศึกษากันไปอีก รู้แจ้งแล้วแต่ก็วางไม่ลงอีก แบกเอาไว้อีก ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้
นิพพานมันอยู่ตรงไหนกันแน่ นิพพานมันอยู่ตรงไหน ทำไมรู้แจ้งแล้วยังไม่นิพพาน ทำไมรู้แจ้งแล้วยังดับไม่สิ้น ทำไมรู้แจ้งแล้วยังข้องอยู่ ท่านถึงว่า สิ่งต่างๆ ล้วนไม่ได้มีอะไรเลย มันมีแต่ความที่เราไปข้องเอาไว้เท่านั้นเอง ข้องใจ ค้นหา ศึกษาเท่าไหร่แล้วก็ไม่จบไม่สิ้น ไม่รู้จักพอ สิ่งที่เราเข้าไปค้นหาหรือศึกษาเนี่ย มันก็เป็นของโลกทั้งนั้น
แม้แต่คัมภีร์ที่เป็นตัวอักษร ก็เป็นของที่ตั้งไว้บนโลกใบนี้ ให้สัตว์โลกได้ดื่มกินดื่มใช้ ได้เข้าไปศึกษาค้นหา หาความรู้ แต่พอรู้แล้ว กลับไม่ได้ปล่อยมันไป พอแจ้งแล้วไม่ได้ว่างอย่างแท้จริงเลย แบกกันไป กอดรัดกันไป อัตตาตัวตนทับถมกันเต็มไปหมด ยกตัวเองขึ้นมาเหนือกว่าคนอื่นเขา นี่หรือนิพพาน รู้แล้วยกตัวเองมาเหนือคนอื่นเขา ว่ารู้มากกว่าเขา นี่หรือนิพพาน เข้าใจแล้ว สั่งสอนตัวเองก่อน ดื่มกินด้วยตัวเองก่อน เข้าใจให้ถ่องแท้ก่อน รู้แล้วก็ต้องวางมันลง เพราะมันเข้าใจแล้ว จิตมันแจ้งแล้ว จะไปกอดรัดเอาไว้ทำไมอีก
คัมภีร์ล้วนไร้ตัวอักษร ถ้ายังมีตัวอักษรอยู่ จิตก็ยังวุ่นอยู่ วุ่นไปเรื่อย วุ่นที่จะแบกมันไป โพนทะนาไป ฉันรู้อย่างนั้น ฉันรู้อย่างนี้ตามพระคัมภีร์ เพราะมันรู้ไม่จริง ถ้ารู้จริงแล้วมันก็ว่างแล้ว ว่างจากอัตตาตัวตนแล้ว ว่างจากการนับถือหรือไม่นับถือแล้ว ว่างจากการสูงกว่าหรือต่ำกว่าแล้ว ไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีสีสันใดๆ ไม่มีความกระเพื่อม ไม่มีความคิดใดๆ ไม่ข้องไม่แวะ ไม่เกาะไม่เกี่ยว เกิดมาแล้วก็ผ่านไปทั้งสิ้น เป็นของโลกๆ มองเห็นโลกตามความเป็นจริงของมัน
ไม่ข้องไม่แวะ ไม่เกาะไม่เกี่ยว อารมณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้น ช่างหัวมัน สักแต่ว่า เกิดแล้วเดี๋ยวก็ต้องผ่านไป ตามกฎของโลก รู้แล้ว ก็แล้วกันไป เข้าใจแล้ว ก็แล้วกันไป จะไปแบกทำไมอีก จะไปแบกเอาไว้ให้ใครอีก ถ้ายังวางมันไม่ลง รู้แล้วยังวางไม่ลง ก็ยากที่จะเข้าถึงได้
พูดกันไปนิพพาน นิพพาน ไปนิพพานกันเถิด แต่ยังแบกอัตตาตัวตนไว้แน่น เพราะวางไม่ลง แบกความรู้ ที่รู้มากกว่าคนอื่นเขา รู้ในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่รู้ ก็แบกเอาไว้ เที่ยวไปสอนเขา ไปเทศนาเขา ไปชักชวนเขา ว่าสิ่งนี้ดีสิ่งนั้นไม่ดี สุดท้ายแล้วก็เป็นของโลกทั้งนั้นเลย
ความแจ้งในตัวตนต่างหาก ว่าตัวตนของเราเนี้ย มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไร เพราะเราไปข้องแวะมันอยู่ในสิ่งต่างๆ ที่เป็นของโลก มันจึงมีตัวตนนี้ขึ้นมา มองมันให้แจ้ง ให้จริง ให้ชัด เมื่อเข้าใจแล้วทุกอย่างมันก็ดับลงไปด้วยตัวของมันเอง มันก็วางไปด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องไปสั่งให้มันวางลงนะ วางลงนะ เพราะการบังคับบัญชานั้นก็ไม่ใช่ภาวะของนิพพาน นิพพานคือดับโดยธรรมชาติของมัน ดับจากการเกาะเกี่ยวสิ่งทั้งหลายทั้งปวง มันก็นิพพานของมันอยู่แล้ว ถ้ายังค้นหาอยู่ ยังเสาะแสวงหาอยู่ ยังอยากรู้อยากเห็นอยู่ ก็ยังห่างไกลนัก
เถียงกัน ทะเลาะกัน นิพพานเป็นแดนมั้ย มันมีแดนให้เกิดใช่มั้ย นิพพานเนี่ย ทะเลาะกันนัก ข้องใจกันนัก พวกยึดมั่นก็อธิบายไปอย่างหนึ่ง พวกไม่ยึดมั่นก็อธิบายไปอีกอย่างหนึ่ง แล้วมันจะไปกันได้มั้ยล่ะ คนที่ยังยึดถืออยู่ กับคนที่เขาไม่ยึดถือแล้ว มันจะหาจุดจบจากตรงไหน สติปัญญามันไม่เสมอกันน่ะ
บางคนเข้าใจว่าเป็นแดนอยู่ มีแดน มีอาณาเขต ก็อธิบายกันไป มันก็ไม่มีใครผิดใครถูก รู้ยังไงอธิบายไปยังงั้น มันก็ตามสัจจะของโลก ความเป็นจริงของโลกเนี้ย มันก็ยังเป็นของโลกๆ ที่ไปข้องอยู่ สิ่งที่พูด สิ่งที่เรียก สิ่งที่ใช้อธิบาย ก็ยังล้วนเป็นสัจจะของโลก ไม่ได้พ้นจากสัจจะของโลกไปได้เลย
ข้องหรือไม่ข้องล่ะ ยังค้นหาอยู่หรือเปล่าล่ะ พอแล้วอย่างแท้จริงหรือเปล่า ถ้าพอแล้วก็นิพพานแล้ว ไม่ข้องแล้ว สุขทุกข์อั้วก็ไม่ข้องแล้ว พอแล้ว มันก็นิพพานของมันอยู่แล้ว มันก็ดับไปโดยปริยายอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ดับอยู่แล้ว อารมณ์ต่างๆ ที่เราเคยไปข้องอยู่ มันก็ค่อยๆ ดับลงไป ดับลงไป ดับลงไป มันดับด้วยตัวของมันเอง เพราะเรารู้แจ้งแล้ว ไม่ค้นหาแล้ว จิตใจไม่เสาะส่ายแล้ว อารมณ์ไม่เสาะส่ายแล้ว ไม่เกาะยึดแล้ว สุขเข้ามาก็อย่างงั้น ทุกข์เข้ามาก็อย่างงั้น อัตตาเดียวกันหมดเลย เสื่อมสลายไปในที่สุดทั้งนั้นเลย
ความดีเหรอ หัวเราะกันได้มั้ย ความดีเนี่ย ดีใจกันได้นานมั้ย ความดีเนี่ย จะเอาอะไรกันล่ะ จะเค้นอะไรจากมันล่ะ ทำแล้วก็แล้ว สงเคราะห์แล้วก็แล้ว บริจาคแล้วก็แล้ว สร้างแล้วก็แล้ว ถวายแล้วก็แล้ว ก็ให้เป็นของโลกไป อนุเคราะห์ เกื้อกูล ช่วยเหลือไป จะไปข้องทำไมอีก จะไปสร้างความลำบากให้สัตว์โลกทำไมอีก มีกำลังก็ทำไป อนุเคราะห์ ช่วยเหลือ ตามประสาโลกๆ เมื่อตายแล้วทุกอย่างก็จบกัน ไม่ข้องแล้ว ไม่เกาะเกี่ยวแล้ว มีแต่เรื่องไร้สาระ สุขก็เท่านั้น ทุกข์ก็เท่านั้น บุญก็เท่านั้น บาปก็เท่านั้น ทำมาเยอะแล้ว ทำมามากพอแล้ว ทำมาหลายต่อหลายชาติแล้ว ก็เท่านั้น ไม่เห็นพ้นเกิดเลย เพราะมันเกาะ
เกิดมาสร้างกัน บางคนก็เกิดมาทำลาย ไอ้คนสร้างก็สร้างไป สร้างแล้วดีเอ้าดีไป สุดท้ายก็ต้องมาเกิดอีก มาใช้สอยสิ่งที่สร้างไว้อีก เพราะมันยึดมั่นอยู่
ไม่มีอะไรดี และไม่มีอะไรเลวอย่างแท้จริงเลย มันหมุนกันไปอย่างเนี้ย มันหมุนกันไปอย่างเนี้ย ตลอดการมีชีวิตที่เราเห็นอยู่เนี่ย ตายไปแล้วก็เกิดมาใหม่ เพราะมันไปข้อง พอใจไม่พอใจ ยินดีไม่ยินดี วางกันนัก ไอ้ที่เรียกว่าวาง วาง วางให้ลง มันจะเอาอะไรไปวางล่ะ ถ้ามันไม่รู้กฎของโลกมันจะวางลงได้มั้ยล่ะ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเนี่ย มันเกิดขึ้นแล้ว มีความเสื่อมสลายไป สูญสลายไปในที่สุด ถ้ามันไม่รู้ตรงนี้มันจะวางลงมั้ย เวลามีทุกข์แล้วมันจะวางลงมั้ยล่ะ ถ้ามันไม่รู้ตรงนี้
ถ้าพระศาสดาไม่เกิดขึ้น กฎของโลกไม่มีใครเข้าถึงเลย สัตว์โลกไม่อาจจะหยั่งรู้ได้เอง จะเกิดตาย เกิดตายอยู่อย่างเนี้ย แล้วก็เวียนมาเกิดอย่างเนี้ย เป็นยุคมืดไปเลย ถ้าพระศาสดาเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ เมื่อนั้นกฎของโลกก็จะปรากฏชัดแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ได้ดื่มกินกัน ว่ามันเกิดความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้ เสื่อมสลายไปในที่สุด ตรงนี้ถ้าพระศาสดาไม่เกิดขึ้น ก็จะไม่มีใครเข้าไปรู้ได้เลย เพราะสัตว์โลกไม่มีโอกาสที่จะรู้ตรงนี้ได้เลย นอกจากพระศาสดาเท่านั้น
เมื่อพระศาสดาเกิดขึ้นมาแล้ว ทุกพระองค์ก็ต้องตรัสเหมือนกันหมด อันเดียวกัน สิ่งเดียวกันเลย ว่าทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปในที่สุด เป็นกฎของโลกที่พระองค์จะต้องประกาศ ทุกๆ พระองค์เลย ไม่มีเว้น จะกี่พระองค์ที่มายังโลกใบนี้ ก็ต้องแสดงธรรมอันเดียวกันหมด เพราะตรัสรู้เรื่องเดียวกันหมด ไม่มีพ้นไปจากเรื่องนี้
ไปค้นหาอะไรกันอยู่ ไปทะเลาะอะไรกันอยู่ สิ่งที่เราเข้ามาทะเลาะกันเนี่ย อ้างเหตุอ้างผลเข้าขัดแย้งกันเนี่ย ล้วนเป็นของโลกทั้งสิ้นเลย ทะเลาะกันเรื่องนิพพาน แต่สิ่งที่อ้างมาพูดมันก็เป็นของโลกทั้งนั้น ก็พูดกันไปก็ไม่มีใครผิดใครถูกหรอก เพราะสติปัญญาของบุคคลไม่เสมอกันเลย เหตุผลมันก็ต่างๆ นานา ตามสติปัญญา ตามบุญและบาปที่อาศัยอยู่ เพราะยังมีความข้องอยู่ในเหตุและผล ถ้าพ้นจากเหตุจากผลไปได้ มันก็นิพพานของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะพูดยังไง เขาจะว่ายังไง ก็ไม่ผิดของเขาหรอก เพราะสติปัญญาเขาเป็นอย่างงั้น เขาต้องดำเนินไปอย่างงั้น
ปัญญามันไม่ได้เสมอกันทุกคน มันต่างกันตรงสติปัญญา ที่จะจำแนกสัตว์ต่างๆ เนี่ย ชั้นวรรณะก็ต่างกัน ผิวพรรณก็ต่างกัน ความเป็นอยู่ก็ต่างกัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่อาศัยบุญและบาปที่เข้าไปข้องอยู่ บุญที่สร้างเอาไว้ บาปที่สร้างเอาไว้ ใจมันไปเกาะติดยึดอยู่ ว่าอันนี้ดี อันนั้นชั่ว มันก็ยังเป็นกฎของโลก ยังข้องอยู่ในโลกใบเนี้ย เพราะดีชั่วเป็นของคู่โลก
ให้แล้วก็แล้ว ใช้สอยแล้วก็แล้ว ดื่มกินแล้วก็แล้ว รู้แจ้งแล้วก็แล้ว ทุกอย่างก็ต้องจบลงในตัวของมันเอง เพราะเราไม่เข้าไปข้อง ไปข้องอยู่ทำอะไร ไม่ว่าสิ่งใดๆ ที่เกิดขึ้น จะดี จะชั่ว ถ้าเราเข้าไปข้องนิดเดียว พอใจไม่พอใจนิดเดียว ภพชาติก็รออยู่แล้ว การเกิดในชาติใหม่ๆ มันก็รอเราอยู่แล้ว มันจะพาเราไปเกิดตามนั้นอยู่แล้ว ที่เราตั้งเป้าเอาไว้ มั่นหมายเอาไว้ว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี มันก็พาเราไปเกิดอีก ไปตบแต่งเราอีก ตามความยึดมั่นถือมั่นของเรา ไม่พ้นจากการเกิดเลย ไม่ได้ดับโดยแท้เลย
มีโอกาสได้ฟังพระสัจจะธรรมคำสอนของพระศาสดาต่างๆ มากมาย เป็นคัมภีร์มาก็เยอะ เป็นมหาบุรุษต่างๆ ที่ได้แสดงธรรมเอาไว้ก็มากมาย ล้วนมีความปรารถนาดีกันทั้งนั้น แต่ต่างกันที่สติปัญญา ความรู้แจ้ง ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตัวสติปัญญา ว่ามีความยึดถือ ความยึดมั่น ความเกาะเกี่ยว เหลืออยู่แค่ไหน ต่างกันแค่ตรงเนี้ย ใครเกาะมากเกาะน้อย ใครยังหาเหตุหาผลอยู่ก็หากันเข้าไป รู้แล้วยังวางมันไม่ลงก็แบกกันเข้าไป ตั้งตัวเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะก็ว่ากันไป สร้างกันไป ทำลายกันไป ฝ่ายทำลายก็ทำลายกันไป ไอ้ที่สร้างก็สร้างกันไป ห้ำหั่นกันไป เอาชนะกันตรงไหนเนี่ย
พระศาสดาก็สอนนักสอนหนา หยุด หยุดตัวเดียวเลย มันหยุดไม่ได้นะซิ มันยังอยากได้อยากดี อยากมีอยากเป็น ไม่น่าเป็นอย่างนั้นไม่น่าเป็นอย่างนี้ มันยังปนเปเต็มไปหมดเลย มันจะหยุดตรงไหน พระศาสดาบอก เราหยุดแล้ว แต่ท่านทั้งหลายยังไม่หยุด ท่านก็ประกาศแล้วประกาศอีก เราหยุดแล้วแต่ท่านทั้งหลายยังไม่หยุด เราหยุดมาดูตัวเองแล้ว เราหยุดจากการข้องแวะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงแล้ว เพราะมันเป็นของโลก เป็นกฎของโลก มีการหมุนเวียนเปลี่ยนไป สุขทุกข์ พอใจไม่พอใจ ล้วนเป็นกฎของโลก เวียนไปหมุนไป
ไอ้ที่ข้องก็ข้องกันไป ไอ้ที่ใฝ่ศึกษาก็ศึกษากันไป สุดท้ายก็ยังไม่พ้นตัวข้อง เข้าไปข้องอยู่นั่น ค้นหาอยู่นั่น ไม่รู้จักพอ เพราะมันไม่ว่าง ไม่เคยทำตัวเองให้ว่างเลย ไม่เคยทำตัวตนให้ว่าง อัตตามันแน่นเปี๊ยะเลย เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ ยกตัวเองขึ้นมา แสดงธรรมกันไป ข่มคนที่เขาเรียนน้อยรู้น้อย เพราะมันวางไม่ลง ยกตัวเองเป็นผู้วิเศษ แสดงตัวเอง ตัวตนเอง ตัวเองขึ้นมา ข้าชื่อนี้ ชื่อนี้ แสดงธรรมอย่างนี้ ธรรมมะมาจากใครกันแน่ ต้นตอที่แท้เนี่ย ก่อนที่เราจะแจ้งเนี่ย มันมาจากใคร พระศาสดาทั้งนั้นเลย เป็นคนจุดประกายขึ้นมา แสดงให้เราได้เห็นอริยะสัจจะธรรม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ จะพ้นจากทุกข์ได้ก็คือ พ้นจากการเข้าไปข้องไปเกี่ยว เข้าไปค้นหา พ้นจากการเข้าไปค้นหา พ้นจากการเข้าไปแสวงหา พ้นจากความยินดีและยินร้าย เนี่ยแหละ
สิ่งเหล่านี้ เราจะมองเห็นกันมั้ยเนี่ย หรือยังทะเลาะกันไปอีก เรื่องนิพพาน นิพพาน มีแดนไม่มีแดน มันไม่ว่างกันเลย ถ้ามันว่างแล้วมันจะทะเลาะกันตรงไหนเนี่ย ถ้ามันหยุดแล้วเนี่ย มันจะทะเลาะกันตรงไหนเนี่ย เราหยุดแล้วแต่ท่านยังไม่หยุด ท่านก็ประกาศเข้าไป มีใครจะคิดถึงบ้างมั้ยเนี่ย มีใครอยากจะรู้อะไรอีกมั้ยเนี่ย จะค้นหาอะไรกันนักกันหนา ค้นหากันมากี่ชาติแล้ว สร้างกันมากี่ชาติแล้ว ไอ้สมบัติพัสถานทั้งหลายเนี่ย สร้างกันมาเท่าไหร่แล้ว พังทลายไปเท่าไหร่แล้ว เสียเงินซ่อมบำรุงไปเท่าไหร่แล้ว ได้อะไรกันบ้างมั้ยเนี่ย เห็นสัจจะธรรมความจริงกันบ้างมั้ยเนี่ย ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความเสื่อมสลายไปเนี่ย เสื่อมสูญไปเนี่ย มองเห็นกันมั้ยเนี่ย หรือยังมองไม่เห็นกันอีก เห็นแล้วมันก็นิพพานของมันอยู่แล้ว มันก็จะค่อยๆ ดับไปจนจะหมดอยู่แล้ว อารมณ์รักอารมณ์ใคร่ หวังดีหวังร้าย มันก็ค่อยๆ ดับด้วยตัวของมันเอง เพราะความเห็นแจ้งในสิ่งเหล่าเนี้ย ว่าความไม่เที่ยงมันมีอยู่เนี่ย จะหาอะไรกันอีก จะสอนอะไรกันนักกันหนา จะสวดอะไรกันนักกันหนา สวดแล้วรู้ความหมายมั้ย สวดเก่งอย่างเดียว เสียงดังฟังชัด ไม่เคยศึกษาคำสอนเลย แปลก็ไม่ออก รู้ก็ไม่ได้ เพราะไม่คิดจะเข้าไปรู้ ท่องกันไป สวดมนต์กันไป
สิ่งต่างๆ ล้วนนำมาซึ่งทุกข์ สิ่งต่างๆ ที่เกิดอยู่บนโลกใบเนี้ย ให้พ้นจากความเข้าไปพอใจและไม่พอใจซะ บุญบาปสร้างไว้แล้วก็อย่าไปยึดไปถือ แล้วก็แล้ว บุญนี่ทำแล้วก็แล้ว บาปเนี่ยมันทำไปแล้ว แล้วก็แล้ว ให้มันจบกันไป จะไปข้องมันทำไมอีก จะไปคิดถึงทำไมอีก ยิ่งคิดมากมันจะพาเราไปเกิด มาชดใช้อีก เอาหรือเปล่า ชอบหรือเปล่า ถ้าชอบก็คิดไป ยึดเอาไว้ เสียใจกันไป ดีใจกันไป
สุดท้ายนี้ ก็หวังว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์แก่พวกท่านทั้งหลาย ส่วนจะมาจากที่ใดนั้น ก็แล้วแต่จะเรียกกัน ธรรมก็คือธรรม มันเป็นธรรมดาของโลก มีเกิด มีดับ มีเสื่อมสลาย มีเริ่มต้น ก็มีสิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างมีเริ่มต้นก็มีสิ้นสุด จะเมื่อไหร่เท่านั้นเอง แจ้งแล้วก็วางลงซะ รู้แล้วก็วางมันลง อย่าไปยึดไปถือมันอีก แม้ความรู้ก็ยึดถือไม่ได้ ตั้งอยู่บนความไม่มีอะไร ไม่ยินดีในอะไร ไม่ข้องเกี่ยวในอะไรอะไร ถ้ายังค้นหาอยู่ก็ไม่พ้นเกิด ไม่พ้นต้องกลับมาเกิดอีก ถ้ายังอยากรู้อีกก็ไม่พ้นเกิดอีก
ขอธรรมมะนี้ จงเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ให้ได้รู้แจ้งธรรม เข้าถึงธรรม ให้พบฝั่งฝันที่แท้จริง พ้นจากการเข้าไปเกาะไปเกี่ยว ไปยึดไปถือ ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ขอเจริญพร เจริญธรรม ทุกท่าน สวัสดี


นี่ ห รื อ นิ พ พ า น
คลิกอ่านตามลิ้งด้านล่าง
01 เรื่อง ของ ธ า ตุ (คลิกอ่าน)
02 บุญคุณที่ต้องทดแทน (คลิกอ่าน)
03 ความหลงใหลในสิ่งต่างๆ ล้วนนำมาซึ่งทุกข์ (คลิกอ่าน)
04 ชีวิตที่สูญเปล่า (คลิกอ่าน)
05 เห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง (คลิกอ่าน)
06 สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนำมาซึ่งทุกข์ (คลิกอ่าน)
07 เรื่องของ ขั น ธ์ ห้ า (คลิกอ่าน)
08 เรื่อง นี่หรือนิพพาน (คลิกอ่าน)
09 ธรรมมะจากหลวงปู่ ... (คลิกอ่าน)
10 สุญญตาธรรม (คลิกอ่าน)
11 ธรรมธาตุทั้งหลายทั้งปวง อันเดียวกัน สิ่งเดียวกัน ต่างแค่ความเห็น (คลิกอ่าน)

หนังสือ นี่หรือนิพพาน 29-01-2560 A5.PDF
(ต้นฉบับส่งโรงพิมพ์ ขนาด-เล่มเล็ก) (5.83 X 8.27 นิ้ว)



ไม่มีความคิดเห็น: