วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

นี่หรือนิพพาน ครั้งที่ 07 เรื่องของ ขันธ์ห้า



2558-10-26 นี่หรือนิพพาน ครั้งที่ 07
เรื่องของ ขันธ์ห้า
วันนี้เป็นวันที่ 26 ตุลาคม 2558 วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่จะได้แสดงธรรม แก่ลูกๆ ทั้งหลาย วันนี้จะได้พูดถึงเรื่อง ขันธ์ห้า ว่าเราเกิดมามี ขันธ์ห้า กันได้ยังไง
สิ่งต่างๆ ทั้งปวง แม้เราจะเห็นอยู่ก็ดี หรือไม่ได้เห็นอยู่ก็ดี ล้วนมีการดำเนินไป ขับเคลื่อนไป ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้อยู่กับที่เลย แม้ความคิดของลูกๆ ก็เหมือนกัน ไม่ได้หยุดอยู่กับที่เลย มีเรื่องให้คิด มีเรื่องเข้ามาให้ได้คิด สารพัดที่จะคิด วันๆ หนึ่งมีความคิดเกิดขึ้นมากมาย เราเคยถามตัวเราเองไหมว่า ทำไมจึงเกิดความคิดขึ้นมามากมายในวันๆ หนึ่งเนี่ย เคยสงสัยบ้างมั้ย ว่ามันเป็นเพราะอะไร มันจะคิดอะไรกันนักกันหนา เดี๋ยวเรื่องนั้นก็เข้ามา เดี๋ยวเรื่องนี้ก็เข้ามา พอเรื่องนั้นผ่านไป เรื่องนี้ผ่านไป สิ่งต่างๆ ก็เข้ามาอีก เข้ามาให้เราได้คิด คิดได้ทั้งวัน เพราะอะไร อะไรคือเป็นต้นเหตุ อะไรคือเป็นปัจจัยในสิ่งเหล่านี้ ทำให้เราเกิดความคิดขึ้นมามากมาย ลูกๆ เคยถามตัวเองบ้างมั้ย หรือเคยคิดสงสัยบ้างมั้ย
สิ่งที่เป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดความคิดขึ้นมามากมายนั้น สาเหตุหลักๆ เลย คือ ขันธ์ห้า นี่แหละลูกรัก คือ ร่างกายของเรานี้แหละ เพราะว่าเรามีร่างกายนี้ เพราะว่าเรามีขันธ์ห้านี้ จึงเกิดความคิดขึ้นมามากมาย ขันธ์ห้าหรือร่างกายของเรานี้ เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดความคิด คอยรับเรื่องราวต่างๆ เข้ามาสู่กายนี้ แล้วก็มีกระบวนการต่างๆ เกิดขึ้น จนนำไปสู่กระแสของความคิด ผ่านทางร่างกายหรือขันธ์ห้านี้แหละ
สิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจของลูกรัก ความพอใจ ความไม่พอใจ ความยินดี ความยินร้าย ความรักใคร่ชอบพอก็ดี ความรังเกียจก็ดี ก็เป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิดความคิดขึ้นมามากมาย คิดเรื่องราวสารพัด ทั้งที่มันเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่เป็นจริงได้และไม่อาจเป็นจริงได้ เราก็คิดกันไป ใช้ชีวิตกันไป ใช่บ้าง ไม่ใช่บ้าง ก็ไม่มีใครสงสัยอะไร คิดได้คิดไป
ความคิดที่ก่อเกิดในวันๆ หนึ่ง มันมีเหตุผลมากมายที่เราต้องคิด การใช้ชีวิตในวันๆ หนึ่งเนี่ย กว่าจะผ่านไปได้ มีเรื่องสับสนวุ่นวายมากมายเหลือเกิน เพราะมนุษย์เรานี้ มีสติปัญญา เป็นผู้มีสติปัญญา มนุษย์เราเป็นผู้มีสติปัญญาเหนือกว่าสัตว์ทั้งปวง ไม่ว่าเรื่องอะไรที่ผ่านเข้ามาในความคิด ก็จะใช้สติปัญญา แยกแยะ เข้าไปกระทำให้ดีที่สุด จึงไม่ได้ปล่อยเรื่องต่างๆ ให้ผ่านไปอย่างง่ายดาย หรือผ่านไปเฉยๆ ตรงนี้แหละ ที่ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาอย่างมากมาย ทั้งที่เป็นไปได้ และบางเรื่องก็อาจจะเป็นไปไม่ได้
ถ้าคิดมากไป ความสับสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น เป็นคนที่เอาดีไม่ได้ คิดเหนือเหตุเหนือผล บางคนก็คิดต่อต้าน ไม่ว่าเรื่องอะไรอะไร ก็ต่อต้านมันไปหมดเลย ไม่จริง ไม่ใช่ ไม่ดี ไม่เอา ไม่อย่างเดียว ไม่เคยคิดถึงเหตุถึงผลในความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ เลย เอาแต่อำเภอใจ คิดไปยังไงก็ว่าไปอย่างงั้น ไม่ได้ไตร่ตรอง ไม่มีการไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
ทุกสิ่งทุกอย่างในวันๆ หนึ่งเนี่ย ที่ผ่านไปแล้วก็ดี หรือที่กำลังจะมาถึงก็ดี ความคิดต่างๆ ในวันหนึ่ง เรื่องราวต่างๆ ในวันหนึ่งๆ มีมาไม่ซ้ำเลยลูกรัก ไม่ว่าอะไรจะเข้ามากระทบจิตกระทบใจ มันคิดได้ไปเรื่อย คิดในทางที่ดีบ้าง ก็ดีไป คิดในทางที่ไม่ดี ก็กลับมาสร้างปัญหา ทำให้เราต้องเกิดการขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้ง รังเกียจ อิจฉา พยาบาท สารพัดที่มันจะทำให้เกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้น เพราะเราคิดไม่ดี ไม่เกรงใจใคร ฉันถูกเธอผิด มันมีแต่เรื่องสิ่งเหล่านี้ ที่พวกลูกๆ ทั้งหลาย ใช้ชีวิตกันในวันหนึ่งวันหนึ่ง ที่ผ่านไป แล้วก็ผ่านไป เคยถามตัวเองกันบ้างมั้ย ว่าเบื่อกันหรือยังล่ะ เคยถามตัวเองกันบ้างมั้ย ว่าเบื่อกันหรือยัง หรือยังสนุกสนานอยู่กับสิ่งเหล่านี้อยู่
ร่างกายที่เป็นเหตุเป็นผล ของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ให้ทั้งความสุขความทุกข์ ในโลกมายานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี คำสรรเสริญเยินยอ ซึ่งเป็นรางวัลชีวิต ที่ทุกคนนั้นปรารถนา ไม่มีใครอยากได้คำติคำเตียน เป็นธรรมชาติของมนุษย์เลย อยากได้คำชม เชิดชู
นี่แหละ เหตุและผลของทุกสิ่งทุกอย่าง ก็คือขันธ์ห้าหรือร่างกายนี้แหละ ที่นำมาซึ่งสุขและทุกข์
โลกก็หมุนไป ทุกวันทุกวันโลกก็หมุนไป ขับเคลื่อนตัวมันเองไป ชีวิตของลูกรักทุกคน ก็ทำนองเดียวกัน มีการหมุนไป เคลื่อนไป เปลี่ยนแปลงไป ร่างกายนี้ก็ไม่ได้คงที่ ไม่ได้เป็นอมตะ บางคนก็คิดอยากมีชีวิตที่เป็นอมตะ ชีวิตที่ไม่ต้องตาย ร่างกายนี้ไม่ต้องเน่าต้องพัง ค้นหาวิธีสารพัด เพื่อให้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนอื่น มันเป็นเรื่องที่เป็นความเห็นผิดจริงๆ เพราะอะไร ทำไมการคิดอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาว หรืออยู่นานกว่าชาวบ้านเขา จึงจัดว่าเป็นความเห็นผิด เพราะอะไร คนมีปัญญาเขาไม่สงสัยเลย พอพูดอย่างนี้ขึ้นมาก็ ปิ๊งเลย เขาไม่สงสัยเลยว่า มันไม่ดียังไง เพราะเขารู้ สิ่งต่างๆ ที่เกิดกับตัวเขา เขารู้ดี สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขาตลอดมาเนี่ย ตั้งแต่เขาเกิดมาจนโตเป็นผู้ใหญ่ก็ดี เขารู้ว่ามันมีแต่ความทุกข์ ที่ผ่านมามีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย จะทุกข์มากทุกข์น้อย มันก็ทุกข์ สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจ เขาก็ไม่อยากที่จะอยู่ให้มันนานๆ นักหรอก ถ้าถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้าน คือสละร่างกายนี้ ทิ้งร่างกายนี้ไว้แล้วละก็ เขาก็พร้อม คนมีปัญญาเขาก็พร้อม เพราะเขาคิดไว้ก่อนแล้ว ว่าวันหนึ่งมันจะต้องมาถึง มีปัญญาเข้าไปเห็น สภาพของร่างกายนี้ ของขันธ์ห้านี้แหละ
ขันธ์ห้า รูป(ปรากฏ) เวทนา(รู้สึก) สัญญา(มั่นหมาย) สังขาร(คิดระคน) และวิญญาณ(เครื่องเกาะนอนเนื่องอยู่ใต้จิตสำนึก) ที่รวมลงแล้วเรียกว่า ขันธ์ห้า คือร่างกายของลูกรักเนี่ยแหละ อายตนะต่างๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นสัมผัส เป็นส่วนที่เกิดสัมผัส ทำให้เรารู้สึกว่าชอบใจ ไม่ชอบใจ ก็อาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เนี่ยแหละ ชอบไม่ชอบ เกลียดไม่เกลียด รักไม่รัก หลงไม่หลง อยากได้ไม่อยากได้ ก็สิ่งเหล่านี้แหละเป็นเหตุ ก็คือร่างกายนี้แหละ ร่างกายที่พวกเราทั้งหลาย หวงแหนนักหวงแหนหนา ไม่อยากให้มันแก่ลง อยากอยู่นานๆ อยากอยู่กับมันนานๆ ไม่อยากทิ้งมันไป ไม่อยากตาย อยากอยู่นานๆ
เนี่ยแหละเขาเรียกว่าความเห็นผิด เห็นผิดจากความเป็นจริง เห็นผิดจากสัจจะความจริง ว่ามีร่างกายนี้ ก็มีทุกข์ มีร่างกายนี้ ก็มีทุกข์ ไม่อาจพ้นจากทุกข์ไปได้ ทุกข์จากความเจ็บป่วย ทุกข์จากความเดือดเนื้อร้อนใจ ทุกข์จากความหิว สารพัดเรื่องที่เกิดในวันๆ หนึ่ง ก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ อาศัยร่างกายของเรานี้แหละ เป็นสิ่งที่พาสิ่งต่างๆ เข้ามา พาปัญหาต่างๆ เข้ามา พาเรื่องราว สารพัดเรื่องสารพัดราว ให้ได้แก้ปัญหาไม่เว้นวัน ก็ร่างกายนี้แหละเป็นตัวชักนำเข้ามา คิดดี พูดดี ทำดี ก็ร่างกายนี้ คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ถูกใจคนอื่น หรือทำในสิ่งที่ไปเบียดเบียนเขาเข้า จนเกิดเรื่องร้อนใจ ก็ร่างกายนี้แหละ ไม่พ้นไปจากร่างกายนี้เลย
ความรู้สึกนึกคิดในวันๆ หนึ่ง ล้วนเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน คิดไปต่างๆนานา คิดอยากทำโน่นอยากทำนี่ เกิดความคิด คิดแล้วก็คิดอีก ถึงเรื่องจะเป็นไปไม่ได้ ก็ขอให้ได้คิด บางคนคิดจนลืมไปเลยว่า ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่ความคิด พยายามหาเหตุหาผล เข้าไปใส่ในความคิด เขาเรียกว่าขาดสติปัญญา เป็นความคิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง คิดไปเรื่อยเปื่อย คิดไปล่วงหน้า ไม่ได้มีสติปัญญา เข้าไปเห็นตามความเป็นจริง ว่าภาวะในปัจจุบันนี้ ต่อหน้าเรานี้ มีอะไรเกิดขึ้น คิดในสิ่งที่มันไม่ได้มีอยู่จริง คิดไปล่วงหน้า คิดไปเผื่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง
การคิดมากๆ จะทำให้พลังงานในร่างกายของเรานี้ ทำงานไม่เป็นระบบ เกิดความด้อย เกิดความเสื่อมขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็เพราะเราคิดมากไป คิดในเรื่องที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง พยายามหาเหตุหาผลเข้ามา เพื่อเอาชนะความคิด ก็ทำให้ร่างกายนี้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นได้ เพราะว่าคิดมากไป คิดที่ไม่สมหวัง คิดที่ไม่ได้อย่างหวัง ก็เพราะว่าเราหลอกตัวเอง เราไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง ไม่ได้เอาใจใส่กับเหตุการณ์ที่มันอยู่เฉพาะหน้า แต่ไปเอาใจใส่กับเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง เป็นการสูญเสียพลังงานดี พลังงานที่จะช่วยเกื้อกูลร่างกาย ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บกับร่างกายนี้ และร่างกายก็จะเสื่อมไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็นบ่อเกิดทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้น ก็เพราะเราคิดมากไป คิดในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ในเรื่องที่ถึงอยู่ตรงหน้าแล้ว กลับไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดี ไม่ได้คิดให้รอบครอบ ไม่ได้คิดให้แยบยล ไม่ได้เข้าไปรู้ตามความเป็นจริง คิดแต่เรื่องที่ยังมาไม่ถึง สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นทุกข์เป็นโทษ
แม้ว่าร่างกายนี้ จะเป็นสาเหตุนำมาซึ่งทุกข์ หรือเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่เมื่อเราเกิดมาแล้ว ก็ใช้มัน ใช้ให้สมเหตุสมผล ใช้ร่างกายนี้ ทำสิ่งต่างๆ ให้ดีที่สุด ในฐานะที่เกิดมาแล้ว มีร่างกายขึ้นมาแล้ว หนีไปไหน ไม่พ้นแล้ว ก็ใช้มันให้คุ้ม ใช้มันให้ดีที่สุด ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น ให้เกิดประโยชน์แก่พวกพ้องและบริวาร ให้มีความผาสุก เท่าที่จะพึงกระทำได้กับการมีร่างกายนี้ ก่อนที่ร่างกายนี้จะพังลงไป ก่อนที่ขันธ์ห้านี้จะเสื่อมสลายไป
พออายุเรามากขึ้นมากขึ้น ความเสื่อมสลายก็มาเยือน ตาก็เสื่อม หูก็เสื่อม ทุกอย่างก็เสื่อมไปหมด อันไหนเสื่อมไป ก็ซ่อมแซมกันไป ถึงเทคโนโลยีจะทันสมัยขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ยังตามไม่ทันความเสื่อมของร่างกายนี้ เพราะมันเสื่อมไปเรื่อย ซ่อมไปเรื่อยมันก็เสื่อมไปเรื่อย มันไม่มีวันหยุดเลย เสื่อมไปทุกวันเลย มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน หน้าก็เปลี่ยนไป การได้ยินก็เปลี่ยนไป การมองเห็นก็เปลี่ยนไป สายตาที่เคยชัดๆ แจ่มแจ๋ว ก็เสื่อม มีสั้นบ้าง ยาวบ้าง หาความพอดีไม่ได้เลย หูของเราก็เหมือนกัน การได้ยินก็เสื่อมถอยลงไป ความคมชัดก็เริ่มน้อยลง นี่คือความเป็นจริงที่เกิดกับร่างกายนี้ ไหนจะความเสื่อมสภาพของกระดูก ความเสื่อมสภาพของ การเดิน การนั่ง และก็พละกำลังที่มีก็เหมือนกัน ก็เสื่อมสภาพไปตามกาลและเวลา ไม่มีอะไรเลยลูกรัก ที่เราจะหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ได้ ได้แต่รออย่างเดียว รอว่าเมื่อไหร่ร่างกายนี้จะผุพังลงไป จะจากเราไปในวันใดวันหนึ่ง ถ้าเราได้เตรียมพร้อม เตรียมใจไว้ก่อน ก็เป็นอันว่าไม่ทุกข์ร้อนนัก แต่ถ้าเราไม่ได้เตรียมใจหรือคิดไว้ก่อน พอถึงเวลาที่ร่างกายมันไม่อยู่กับเราแล้ว มันจะไปแล้ว มันก็จะเกิดความกระวนกระวาย เกิดความทุกข์ขึ้นมา ไม่อยากจากมันไป พยามจะหยุดยั้งเอาไว้ แต่ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย จะตายเร็วตายช้า ก็ต้องตายกันทุกคน จะรวยหรือจนก็ไม่พ้นตาย คนดีก็ตาย คนเลวก็ตาย มหาเศรษฐียาจกก็ตาย คนบ้าคนใบ้ก็ตาย น่ารักน่ารังเกียจก็ตาย จะแข็งแรงหรืออ่อนแอก็ตาย ไม่อาจจะหนีไปได้ หนีไม่พ้น มีแต่ตายกับตาย
มีสติเข้าไประลึกรู้อยู่เสมอว่า วันหนึ่งเราไม่พ้นตายแน่ นึกให้มันรู้ ให้มันเห็น ให้มันชัด ว่าวันหนึ่งความตายต้องมาถึงเราแน่ เหมือนกับคนทั้งหลายที่เขาได้ตายไปก่อนหน้านี้แล้ว ตายกันไปได้ทุกวัน มองให้เห็น ให้เข้าใจ อย่าหลอกตัวเอง อย่าหนีความเป็นจริง เพราะนี่คือสัจจะธรรมความจริงของมนุษย์ ของสัตว์โลกผู้เกิดมาแล้วเวียนตายเวียนเกิด เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน มีชีวิตที่เป็นอมตะ ไม่มี ความตายเป็นสิ่งแท้จริง ที่วันใดวันหนึ่งก็จะมาถึง ที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงไปได้เลย มองให้เห็นตรงนี้
สิ่งต่างๆ มีอะไรมากมายในชีวิต ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป ไม่อาจจะหยุดยั้งได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไป ตามสภาพเหตุการณ์ ตามสภาพของเหตุและปัจจัย เกิดขึ้นอยู่ แล้วก็ผ่านไป จบลงไป แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่ แล้วก็จบลงไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นวงเวียนชีวิต เป็นชีวิตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเผชิญ ต้องสู้กันไป เอาชนะกันไป ทำให้ดีที่สุด ไหนๆ ก็มีร่างกายนี้ขึ้นมาแล้ว หนีมันไม่พ้นแล้ว ก็ทำให้มันดีที่สุด ทำให้มันเป็นประโยชน์ ทำให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ต่อตนเองและผู้อื่น
อะไรอะไรก็ให้ใช้ปัญญา เข้าไปไตร่ตรองให้มากที่สุดนะ คิดให้มันแจ่มแจ้ง ให้มันเข้าใจชีวิต อย่าไปยึดไปถือมันมากนัก อย่าไปคิดว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เพราะมันจะทำให้เกิดแต่ความทุกข์ เกิดแต่เรื่องร้อนใจขึ้นมา ทำให้ดีที่สุด จะเป็นไงก็เป็นกัน ทำแล้วก็แล้วกัน ทำให้ดีที่สุด ผลลัพธ์จะเป็นยังไงก็สุดแล้วแต่แล้ว เราทำดีที่สุดแล้ว ก็ต้องยอมรับกัน ใช้ชีวิตกันไป ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
นี่แหละคือชีวิต นี่แหละคือสิ่งต่างๆ ที่ลูกจะต้องเจอ กับการมีร่างกายนี้ ไม่อาจจะหลีกพ้นไปได้เลย ขอฝากไว้ให้ได้คิดพิจารณา กับทุกข์โทษของการมีร่างกายนี้ ว่ามันให้โทษกับเรายังไงบ้าง เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวันๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ก็อาศัยร่างกายนี้เป็นเหตุ เพราะเรามีร่างกายนี้  เพราะร่างกายเราเป็นอย่างนี้  จึงมีเหตุมีผล มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างมากมาย ไม่อาจจะพ้นไปจากร่างกายนี้ได้ จนกว่าความตายจะมาถึง เมื่อวันนั้นมาถึง ชีวิตช่วงหนึ่งก็จบลง จบลงไป จบลงไปอีกช่วงหนึ่ง
สุดท้าย ขอให้ลูกๆ ทั้งหลาย จงเกิดปัญญาไตร่ตรอง ให้เห็นทุกข์เห็นโทษ ของการมีร่างกายหรือขันธ์ห้านี้ ว่านำมาซึ่งทุกข์ ทุกข์จากการเจ็บป่วย ทุกข์จากความเข้าไปพอใจและไม่พอใจในสิ่งต่างๆ ก็อาศัยร่างกายนี้เป็นเหตุ ทำให้เราเกิดความพอใจไม่พอใจ ก็ขอฝากไว้
ขอเจริญพร เจริญธรรม ด้วยกันทุกคนทุกท่าน สวัสดี


นี่ ห รื อ นิ พ พ า น
คลิกอ่านตามลิ้งด้านล่าง
01 เรื่อง ของ ธ า ตุ (คลิกอ่าน)
02 บุญคุณที่ต้องทดแทน (คลิกอ่าน)
03 ความหลงใหลในสิ่งต่างๆ ล้วนนำมาซึ่งทุกข์ (คลิกอ่าน)
04 ชีวิตที่สูญเปล่า (คลิกอ่าน)
05 เห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง (คลิกอ่าน)
06 สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนำมาซึ่งทุกข์ (คลิกอ่าน)
07 เรื่องของ ขั น ธ์ ห้ า (คลิกอ่าน)
08 เรื่อง นี่หรือนิพพาน (คลิกอ่าน)
09 ธรรมมะจากหลวงปู่ ... (คลิกอ่าน)
10 สุญญตาธรรม (คลิกอ่าน)
11 ธรรมธาตุทั้งหลายทั้งปวง อันเดียวกัน สิ่งเดียวกัน ต่างแค่ความเห็น (คลิกอ่าน)

หนังสือ นี่หรือนิพพาน 29-01-2560 A5.PDF
(ต้นฉบับส่งโรงพิมพ์ ขนาด-เล่มเล็ก) (5.83 X 8.27 นิ้ว)



ไม่มีความคิดเห็น: